4 วิธีที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน
4 วิธีที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน
การจัดการห่วงโซ่อุปทานจะปรับตัวอย่างไรในช่วงปีข้างหน้า
การจัดการห่วงโซ่อุปทานจะปรับตัวอย่างไรในช่วงปีข้างหน้า
การจัดการห่วงโซ่อุปทานจะปรับตัวอย่างไรในช่วงปีข้างหน้า
เทคโนโลยียังคงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งขับเคลื่อนโอกาสใหม่ๆ และกระตุ้นการเติบโตสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
ซัพพลายเชนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเช่นเดียวกับพฤติกรรมของลูกค้าของคุณ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ต่อไป ธุรกิจก็ได้มีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชนของธุรกิจ
ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก
แรงขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อุตสาหกรรมในปัจจุบันนี้ก็คือข้อมูล ตั้งแต่ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตอนและกระบวนการทำงานไปจนถึงการอัพเดทตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์ของการจัดส่ง ข้อมูลล้วนไปเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ
การจัดการซัพพลายเชนอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและไม่สามารถคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าด้านข้อมูลทำให้การติดตามและการตรวจสอบขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทานกลายเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น ข้อมูลกำลังเปลี่ยนแปลงความสามารถด้านการจัดการคำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมการจัดส่งในทั่วโลกโดยการให้ข้อมูลเชิงลึกในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
บล็อกเชน
บล็อกเชนคือการบันทึกธุรกรรม การเคลื่อนไหว หรือการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอลของรายการหนึ่ง ในด้านโลจิสติกส์ บล็อกเชนได้ถูกนำไปใช้เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลพัสดุ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในการสูญหายหรือความล่าช้าสำหรับธุรกิจและผู้รับพัสดุได้ ในทุกๆ ครั้งที่การจัดส่งได้รับการบันทึก เคลื่อนย้าย หรือพบเผชิญกับเงื่อนไขใหม่ ข้อมูลจะถูกเพิ่มไปยังบล็อกข้อมูลที่เกี่ยวกับพัสดุดังกล่าว แล้วถูกแชร์ไปทั่วทั้งฐานข้อมูล
นอกจากนั้น ข้อมูลนี้จะไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้นอกเหนือไปจากแหล่งที่มาของข้อมูล จึงทำให้ข้อมูลดังกล่าวมีความปลอดภัย เหตุที่บล็อกเชนมีความสำคัญต่อการจัดการซัพพลายเชนนั้น ก็เพราะว่าสามารถใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนได้ในขั้นตอนการจัดการและการลงนามสัญญาต่างๆ การติดตามหรือการรักษาประวัติที่ถูกต้องของการเคลื่อนย้ายพัสดุ ทำให้สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องเวลาได้
ระบบสินค้าคงคลังหลายระดับ
สินค้าคงคลังหลายระดับจะใช้ระดับการเก็บคลังสินค้าที่แตกต่างกัน และใช้ในตำแหน่งที่ต่างกันในซัพพลายเชน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาจเลือกเก็บคลังสินค้าไว้ในโกดังที่ใกล้กับลูกค้าปลายทางมากขึ้นเพื่อลดความล่าช้าในการจัดส่งและลดความซับซ้อนของการคืนผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์รายการอื่นๆ อาจเหมาะสำหรับการจัดเก็บไว้ตำแหน่งที่ใกล้กับผู้ผลิตมากกว่าเพื่อลดปัญหาการจัดเก็บคลังสินค้ามากเกินไปและปรับปรุงการหมุนเวียนของเงินสด
สินค้าคงคลังหลายระดับยังสามารถช่วยเพิ่มความยั่งยืนของซัพพลายเชนได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น การพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Footprint) หรือการเน่าเสียของสินค้าบางประเภทในสถานที่ต่างๆ แนวทางนี้จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและการขาดประสิทธิภาพในทั่วทั้งซัพพลายเชนได้เมื่อใช้ร่วมกับข้อมูลที่เหมาะสม
อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things)
ความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ได้ช่วยให้บริการด้านโลจิสติกส์มีการพัฒนาความสามารถเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่ทั้งผู้ส่งและผู้รับพัสดุ ตัวอย่างเช่น นวัตกรรม SenseAware® ของ FedEx มีการใช้ IoT เพื่อแสดงข้อมูลตลอดการจัดส่งที่ชัดเจนแบบเรียลไทม์ ดังนั้น หากธุรกิจของคุณต้องการบริการเฉพาะทางเพิ่มเติม เช่น การจัดส่งพัสดุที่ไวต่ออุณหภูมิ SenseAware ก็มีการติดตามและการตรวจสอบแบบสมบูรณ์พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับความชื้น ตำแหน่งที่ตั้ง และการเผชิญต่อแสง
ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ได้คุณสบายใจกับการที่ได้ทราบว่าธุรกิจของคุณจะสามารถดูข้อมูลการจัดส่งของคุณได้ตั้งแต่ต้นจนจบ หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ระบบจะแจ้งเตือนในทันที เทคโนโลยีอย่าง SenseAware เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น ในขณะที่เทคโนโลยีอย่างบล็อกเชนกลายเป็นเทคโนโลยีกระแสหลักมากยิ่งขึ้น
มุ่งสู่อนาคต
ในฐานะอุตสาหกรรม เราได้มุ่งสร้างการจัดการและการดำเนินการซัพพลายเชนที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น พร้อมกับมีประสิทธิภาพจากข้อมูลใหม่ๆ
จึงทำให้พวกเราที่ FedEx นำการแปลงข้อมูลมาใช้ และร่วมมือกับ Microsoft เพื่อทำการย้ายข้อมูลของเราไปไว้บนคลาวด์ การรวมเครือข่ายดิจิตอลและโลจิสติกส์ทั่วโลกของเราเข้ากับความอัจฉริยะของระบบคลาวด์ Microsoft ทำให้เราได้มุ่งสร้างประสบการณ์อีคอมเมิร์ซขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้งทำให้ธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจของคุณสามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้นในพื้นที่ดิจิตอลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันนี้
อีกมากมายจากศูนย์ธุรกิจขนาดเล็ก
ธุรกิจที่กำลังเติบโตสามารถปรับตัวเข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปได้ดีขึ้นอย่างไร นี่คือสิ่งที่เราค้นพบ
อย่ารอช้า คุณสามารถเข้าถึงผู้ที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้ากว่า 450 ล้านคนในยุโรปภายใน 48 ชั่วโมง